5 วิธี(คิด)ในการตอบคำถามสัมภาษณ์งาน …
2-3 ปีหลังนี้ ผมมีโอกาสสัมภาษณ์งานบ่อยๆ ทั้งบุคลากรระดับกลางๆ (สูงมากไม่ได้ แต่ก็ไม่ต่ำเตี้ย) รวมถึง ระดับกร่างๆ (ไม่สูงไปเลย ก็ต่ำก่อนเวลาอันควร)ผู้สมัครเกือบทั้งหมดตอบคำถามตาม“แพทเทิร์น” ซึ่งก็โทษพวกเขาไม่ได้ทั้งหมด ทั้งนี้เพราะ ผู้สัมภาษณ์เองก็ถามคำถามตาม“แพทเทิร์น”เหมือนกัน ลองมาดูเทคนิควิธีการสัมภาษณ์งาน Part Time 2556 กันดีกว่า5 วิธี(คิด)ในการตอบคำถามสัมภาษณ์งาน …10 คำถามยอดนิยม- ไหนลองเล่าถึงตัวเองหน่อยสิ- ทำไมคุณถึงอยากออกจากงานที่ทำอยู่- คุณคิดว่าคุณจะทำอะไรเพื่อบริษัทได้บ้าง- ข้อเสียที่เห็นได้ชัดของคุณคืออะไร- คุณมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อคำวิพากษ์วิจารณ์- คุณจะว่าอย่างไรถ้าต้องทำงานล่วงเวลา- คุณอยากไปถึงจุดไหนในอีก 10 ปีข้างหน้า- อะไรที่ทำให้คุณอยากทำงานที่นี่- คุณคาดหวังเงินเดือนเท่าไหร่- คำถามสุดท้ายคุณมีอะไรจะถามไหมถามคำถามแบบนี้ ผู้สมัครหน้าใหม่ จะตอบเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร … ฮึ?เชื่อไหม 97.22% (สำรวจเอง) คนสมัครหน้าใหม่ ไม่ได้งานเพราะ “คิดไม่ผ่าน” หาใช่ “ตอบไม่ผ่าน” … เอนี่เวย์, ลองดู 5 วิธีคิดในการตอบคำมสัมภาษณ์งาน กันหน่อยดีไหม๑. เราไม่ได้ตื่นเต้นจากคำถาม ส่วนใหญ่ตื่นเต้นจากบรรยากาศคุณเคยไปเที่ยวที่ไหนซ้ำๆ กัน และยังตื่นเต้นทุกครั้งไหม คนเราเป็นอย่างนี้แหละ เปลี่ยนที่เปลี่ยนทางนิดหน่อย ทำเอาวางมือไม้ไม่ถูกเชียว เพราะฉะนั้น จงสร้างบรรยากาศสัมภาษณ์ (จินตนาการ) ให้เหมือนการพูดคุยกับพี่รหัส หรือ คนที่เราชื่นชอบ (แอบไปดูบรรยากาศบริษัทก่อนสัมภาษณ์ ช่วยได้ ช่วยได้)๒. เขาเป็นฝ่ายเลือกเราก็จริง แต่เราก็เป็นฝ่ายเลือกเขาเหมือนกันคนเราทำงานมากกว่า 1 ใน 3 ของวัน การได้ทำงานในที่มีบรรยากาศในการทำงานแย่ เครียด และได้เงินไม่คุ้ม(ค่ากิน ค่าเดินทาง) การขายหมูปิ้งหน้าปากซอยบ้านอาจดีกว่า! ดังนั้น อย่าปล่อยให้เขาเลือกเรา เราควรเลือกเขาไปด้วยพร้อมๆ กัน๓. ยิ่งอยากได้งาน ยิ่งไม่ได้ในงานขายตรง เขาสอนกันไว้ชัดเจนเลยว่า “อยากขายได้ จะขายไม่ได้” นั้นก็เพราะขณะที่เราอยากได้อะไรสักอย่าง รังสีอำมหิตก็เปล่งประกายจ้าจนมองเห็นได้จากสายตา … การสมัครงานก็เช่นกัน ผู้สัมภาษณ์จะเลือกเราเพราะเราเหมาะกับงานของเขา ไม่ใช่เพราะเราอยากทำงาน(ใจจะขาด)๔. การสัมภาษณ์งาน คือ การแสดง (หรือไม่ก็ การประกวดนางงาม)คุณเคยทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่หรือคนแปลกหน้าไหม … เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณเคยจีบ หรือ เคยโดนจีบไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอกกับคำถามไม่กี่ข้อ คำพูดไม่กี่คำ จะทำให้ “เรา” รู้จักกันจนหมดไส้พุง การสัมภาษณ์งานก็เหมือนกัน วางฟอร์มไว้หน่อย ไม่เสียหลาย ดีกว่า “ปล่อยไก่” ตั้งแต่แรกพบ๕. คนไม่มีประสบการณ์นี่แหละ … ดีคุณเคยได้ยินนิทานเซนเรื่อง ชาเต็มถ้วย ไหม หากเราใช้ชีวิตเสมือนชาเต็มถ้วย รินชาลงไปเท่าไหร่ ชาก็ล้นถ้วยออกมาหมด … คนไม่มีประสบการณ์นี่แหละดี เพราะหมายถึงความคิดยังสดใส ไอเดียยังบรรเจิด ไม่ถูกประสบการณ์(ร้ายๆ)ตีกรอบให้คิด ให้ตัดสินใจ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ตลอดเวลาสุดท้าย อย่าลืมเตรียมตัวสำหรับ“คำถามสุดท้าย” นะครับ อ.ณรงค์วิทย์ แสนทอง บอกเอาไว้ว่า …หากคุณไม่มีคำถามอะไร นี่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า “คุณเป็นคนไม่ฉลาดเอาเสียเลย ไม่ตั้งใจฟัง หรือไม่ก็ไม่ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทมาเลย”อ.ณรงค์วิทย์ บอกว่า ให้ลองใช้คำถามเหล่านี้ดู1. ตำแหน่งของดิฉันอยู่ในตำแหน่งใดในโครงสร้างของบริษัท2. เวลาทำงานปกติคือเวลาใด3. กรุณาบอกคร่าวๆถึงเป้าหมายของบริษัท4. มีโอกาสเลื่อนขั้นในอีก 3 ปีข้างหน้าหรือไม่อย่าลืมนะครับ … การสัมภาษณ์ ก็คล้ายกับ การประกวดนางงาม ถามพอเป็นพิธี ตอบพอเป็นพิธี ยึดหลักจริงใจ ใจจริง และ ขอให้ดูดีดูฉลาดเข้าไว้(ก่อน) แต่ก็อย่าให้ถึงกับต้องออกตัวว่า “รักเด็ก” … เพราะนอกจากจะไม่ “ดูฉลาด” แล้ว ยังอาจกลายเป็น “ดูประสาท” ไปก็ได้
10 คำถามพิชิต สมัครสอบสัมภาษณ์
สัมภาษณ์งานแต่ละที “เอ๋ทำไม ไม่มีใครติดต่อกลับมาเลย” “คำตอบที่เราตอบไปมันไม่ได้ดีหรอ” บทความนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณเข้าใจกับ 10 คำถามยอดฮิต ที่แต่ละบริษัทต้องถามกัน 10 คำถาม –คำตอบ นี้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น คำตอบที่ตอบออกไปไม่ทั้งถูกและผิด เพราะเหล่าคำถามแต่ละข้อนั้น ผู้สัมภาษณ์เพียงอยากรู้จักความเป็นตัวคุณให้มากกว่าเรซูเม่เพียงแค่กระดาษ 1 แผ่น ไม่ว่าคุณจะตอบแบบไหนล้วนสะท้อนถึงความคิด ความอ่านและทัศนคติต่างๆของตัวคุณเอง การตอบแต่ละข้อควรจะตอบในแบบฉบับความเป็นตัวคุณที่สุด ไม่ควรตอบอะไรที่แสดงถึงโอ้อวดเกินไป หรือ มีความมั่นใจเกินไป สิ่งสำคัญทุกครั้งก่อนการไปสัมภาษณ์งาน คุณควรที่จะมีการเตรียมพร้อมและซักซ้อมให้มากที่สุด เพราะเมื่อเจอสถานการณ์จริงคุณจะได้รับมือกับการควบคุมอารมณ์ ความตื่นเต้นและความประหม่าของตัวคุณเองที่จะเกิดขึ้นได้ “การเตรียมตัวที่ดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งเสมอ....”1)เล่าอะไรมาคร่าวๆเกี่ยวกับตัวคุณให้ฟังหน่อย... คำถามนี้ผู้สัมภาษณ์ไม่ได้ต้องการฟังประวัติของคุณตั้งแต่เข้าเรียนจนจบมหาวิทยาลัย แต่ผู้สัมภาษณ์อยากจะรู้เพียงว่าเมื่อคุณเรียนจบมาแล้วและเริ่มทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง สิ่งที่คุณได้รับจากบริษัทเดิมมีอะไรบ้าง คำถามนี้คุณควรใช้เวลาตอบเพียง 2 -3 นาที ตอบแบบกระชับ ให้ได้ใจความที่สุด พร้อมยกตัวอย่างประกอบ เช่น “หลังจากเรียนจบด้านการตลาด และเริ่มทำงานกับบริษัทการตลาดแห่งหนึ่ง ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานกันเป็นทีม ก่อนการทำงานทุกครั้งต้องวางแผนอยู่เสมอ และ ต้องแข่งขันกับเวลาที่จำกัดอยู่เสมอ รวมถึงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ สิ่งเหล่านี้ล้วนสอนผมมา จึงทำให้ผมมักจะได้รับมอบหมายดูแลงานโปรเจคใหญ่อยู่เสมอ” แต่ถ้าคุณเป็นนักศึกษาจบใหม่ ไม่เคยทำงานที่ไหนมาก่อน คุณสามารถพูดถึงกิจกรรมนักศึกษาที่คุณเคยทำมาได้เหมือนกัน2)ทำไมคุณถึงลาออกจากงานเก่า ควรตอบด้วยความเป็นจริงให้มากที่สุด สั้นๆ กระชับ ให้ได้ใจความพร้อมกับเหตุผลประกอบ และถ้าการออกจะที่เก่ามันเลวร้ายมากๆ คุณก้อไม่ควรจะบอกกับผู้สัมภาษณ์งาน อย่าลืมว่าผู้สัมภาษณ์อาจขออนุญาตติดต่อกลับบริษัทเก่าเพื่อทำการตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงที่สุดสำหรับการตอบคำถามนี้คือ การวิจารณ์ที่ทำงานและเจ้านายเก่าเพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของคุณดูแย่และนั่นหมายถึงโอกาศที่คุณจะได้งานนี้ย่อมจบลงเช่นกัน3)คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง ก่อนจะเข้ามาสัมภาษณ์คุณจำเป็นที่ต้องทราบและเข้าใจในข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับข้องกับตัวบริษัทไม่ว่าจะเป็น ประวัติความเป็นมาขององค์กร วัฒนธรรม วิสัยทัศน์ ภาพลักษณ์องค์กรรวมถึงตัวสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทซึ่งข้อมูลเหล่านี้คุณสามารถค้นหาได้ตามหน้าเว็ปไซค์ของบริษัทนั่นเอง คุณอาจจะโทรเข้ามาสอบถามกับทางประชาสัมพันธ์ของบริษัทนั้น เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับตัวบริษัท และถ้ามีเพื่อนๆที่ทำอยู่ก้อสามารถสอบถามข้อมูลได้เหมือนกันการที่การที่คุณได้มีเตรียมตัวหาข้อมูลก่อนไปสัมภาษณ์มันแสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นว่าคุณตั้งใจที่จะเขามาทำงานที่บริษัทแห่งนี้4) ทำไมคุณถึงมาสมัครงานกับบริษัทเรา คำถามนี้จะเป็นอะไรที่ง่ายมากๆ ถ้าคุณได้มีการค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวองค์กรมาพอสมควร การตอบคำถามทุกครั้งควรตอบอย่างมีเหตุมีผลเช่น“ตอนที่ผมได้เรียนอยู่ และได้ทราบว่าจากรุ่นพี่เกี่ยวกับบริษัทแห่งนี้ที่ได้เปิดโอกาสให้กับนักศึกษาจบใหม่ ได้เข้าทำงาน ซึ่งคิดว่าเป็นโอกาศที่ดี ที่ผมจะได้เรียนรู้ และเพิ่มความสามารถให้กับตัวผม”“ช่วงที่ผมได้ทำงานบริษัทเก่าอยู่ ผมได้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนี้ที่ได้เปิดโอกาสให้กับพนักงานทุกคนพิสูจน์ความสามารถ และโปรโมตตัวเอง เพื่อเลื่อนขั้นได้ครับ”5) ตามความเข้าใจของคุณ คิดว่าตำแหน่งนี้ต้องรับผิดชอบงานอะไรบ้าง คุณควรทำการบ้านก่อนมาสัมภาษณ์ด้วยการอ่านรายละเอียดของตำแหน่งงานและคุณสมบัติต่างๆที่ทางบริษัทต้องการทำความเข้าใจกับมัน ตอบให้สั้นและกระชับใจความ สิ่งสำคัญก่อนตอบต้องมั่นใจว่าเข้าใจถ้าไม่แน่ใจส่วนไหนไม่ต้องกลัวที่จะถาม อาจตั้งคำถามกลับในทำนองว่าเข้าใจตำแหน่งงาน แต่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูลกลุ่มลูกค้า และผลิตภัณฑ์มากนักอยากให้ช่วยอธิบายให้เข้าใจในเบื้องต้นและ ถ้าไม่รู้ อย่าพยายามตอบ เพราะถ้าตอบผิด นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้ทำการบ้านมาไม่ได้ให้ความสนใจกับงานนี้ แถมยังมั่วอีกต่างหาก6)ถ้าคุณได้มาทำงานกับบริษัทคุณคิดจะทำอะไรให้กับบริษัทมากที่สุด คำถามนี้แสดงถึง ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถความชำนาญของตัวคุณเองการตอบคุณควรตอบอย่างมั่นใจคำตอบที่คุณตอบไปสามารถบ่งบอกถึงความตั้งใจจริงในการทำงานและความสามารถของตัวคุณเอง ไม่ว่าวิธีการคิดของคุณที่จะนำมาใช้กับบริษัทได้หรือไม่นั้น แต่ขอให้คุณ ใช้ประสบการณ์และ ความรู้ที่เรียนมาตอบออกไป7) งานอดิเรกที่คุณทำเป็นประจำมีอะไรบ้าง คำถามประเภทนี้ผู้สัมภาษณ์ต้องการจะดูด้านอุปนิสัย บุคลิกภาพ ของตัวผู้สมัครว่า เป็นคนอย่างไร และยังสามารถรู้ถึงความคิด ความอ่าน การสังเกตุ และการเข้าร่วมกับคนอื่นๆ“ผมชอบอ่านข่าว คุณก้อจะถูกถามถึงเหตุการณ์ ณ.ปัจจุบันว่าเกิดอะไรขึ้นคุณมีความคิดเห็นต่อข่าวนี้ยังไงบ้าง”“ผมชอบเล่นกีฬา กีฬาที่เล่น เพราะอะไรทำไมถึงชอบเล่นกีฬาประเภทนี้คุณได้อะไรจากการออกกำลังกายบ้าง”8) อะไรคือ จุดเด่น/จุดอ่อนของคุณ จุดเด่น ควรจะบอกอะไรที่คิดว่าดีที่สุดในตัวเรา และสามารถนำความสามารถนั้นมาใช้กับงานที่จะสมัครได้ เช่น“ผมเป็นคนไม่ชอบหยุดนิ่ง เนื่องจากชอบ ชอบทำกิจกรรมใหญ่ๆอยู่เสมอ” จุดอ่อน ควรจะบอกในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะปรับปรุงหรือทำแล้ว ณ.ขณะนั้น และควรบอกถึงผลหลังการปรับปรุงด้วยเช่น“ภาษาอังกฤษของผมอ่อนมากๆซึ่งตอนนี้ผมกำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ เรียนมาได้ 4 เดือนแล้ว และผลการเรียนนี้เอง ทำให้ผมสามารถโต้ตอบจดหมายที่เป็นภาษาอังกฤษได้”9) คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่ยากในการตอบคำถามประเภทนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือกเงินเดือนที่มาก หรือ น้อย ย่อมส่งผลกระทบต่อตัวเราทั้งสิ้น ทางที่ดี ในการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือนนี้เราควรจะหาข้อมูลจากทางเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงานในบริษัทหรือ คล้ายกับตำแหน่งที่คุณสมัครก่อน แต่ถ้าหากผู้สัมภาษณ์เสนอเงินเดือนมาสูงหรือต่ำกว่าที่คุณตั้งไว้คุณก็อย่าเพิ่งรีบตอบตกลง คุณอาจจะขอเวลาในการพิจารณาสัก 1-2 วัน แล้วค่อยให้คำตอบก้อได้เพราะถ้าเกิดคุณตอบตกลงไปแล้ว และคุณมาขอขึ้นทีหลังก็เหมือนกับว่า คุณเป็นประเภทคนโลเลไม่น่าเชื่อถือได้10) คุณมีข้อสงสัยอะไรอีกไหม ถ้าเจอคำถามนี้ ย่อมหมายถึงการสัมภาษณ์ได้ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ในการตอบคำถามข้อสุดท้ายนี้ จะตอบอย่างไรดีที่จะแสดงว่า เราเป็นคนเอาใจใส่ เช่น"ผมอยากทราบเวลา ที่แน่นอนในการทำงานของผมครับ” “สวัสดิการที่ผมจะได้รับมีอะไร”หรือ คุณอาจจะไม่ต้องการถามอะไรก็ได้เพราะถ้าคุณได้ทราบข้อมูลของบริษัทนี้มากพอแล้วแต่ถ้าเกิดสงสัยจริงๆ ก็ควรตั้งคำถามที่ฟังแล้วดูดีและถูกใจนายจ้างของคุณให้มากที่สุด
อยากได้งาน ตกงานต้องอ่าน? เทคนิคหางานแบบเซียนตัดเซียน
ถ้าคุณคือคนที่ตกงาน และอยากได้งานกันอยู่..."ไทยรัฐออนไลน์" ขอแนะนำการสมัครงาน แบบมีกึ๋น มีชั้นเชิง และตรงตามที่ผู้ประกอบการต้องการ โดยเฉพาะกับ "นักศึกษาจบใหม่" ที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นโน่น เป็นนี่ ทำงานอย่างนั้น ทำงานอย่างนี้ แล้วอะไรล่ะ...จะเป็นตัวบ่งบอกถึงความสำเร็จในการหางาน คำตอบก็คือ "งานที่ได้ทำ" นั่นแหละ!! (อ่านเพ่ิม : อู้ฮู! เปิด 5 อาชีพ รายได้สูงสุด-ต่ำสุดในไทย)บางคนหางานแค่ไม่กี่วัน ได้ทำงานสมใจ บางคนกินฝุ่นที่ตัวเองเดินเตะเป็นปีๆ ยังไม่มีหนทาง เอาล่ะ...ลองอ่านเทคนิคจากเอชอาร์ผู้มากประสบการณ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง และผู้บริหารบริษัทจัดหางานชื่อดังในประเทศไทย ที่ให้สัมภาษณ์กับเราตามข้างล่าง รับรอง...ทางออกนักศึกษาจบใหม่ หรือผู้ที่กำลังหางานอยู่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอนเริ่มที่ "พนักงานฝ่ายบุคคล" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "เอชอาร์" ของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง (ขอสงวนชื่อนามสกุล) ผู้เชี่ยวชาญด้านการรับสมัครพนักงานมือหนึ่ง เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกคนให้องค์กรใหญ่ๆ กับ "ไทยรัฐออนไลน์" ฟังอย่างละเอียดในหลายๆ เรื่องการแข่งขันในเวทีรับสมัครเอกสารบอกชื่อ-ส่วนสูง-น้ำหนัก"เรซูเม่" เป็นเรื่องแรกที่สาวเอชอาร์เอื้อนเอ่ยขึ้น โดยเธอระบุว่า เรื่องนี้สำคัญ เพราะเรซูเม่ มันไม่ใช่แค่เอกสารที่บ่งบอกชื่อ ส่วนสูง น้ำหนัก จบมาจากที่ไหน หรือมีเพื่อน คนรู้จักในบริษัทนี้ชื่ออะไร แต่สิ่งที่เราอยากได้ คือ คุณได้อะไรมาจากการเรียน 4 ปีในมหาวิทยาลัย คุณได้อะไรมาบ้าง และอะไรที่คุณมีเหนือกว่าคนอื่น ในบรรดานักศึกษาจบใหม่ด้วยกัน ในระหว่างที่เรียน คุณได้พัฒนาตัวเองอย่างไร ได้ไปฝึกงานมาหรือไม่ หาความรู้เพิ่มเติมในด้านที่คุณสนใจมากไหม แล้วฝึกงานมา คุณได้อะไรมาจากที่นั่นบ้าง แล้วองค์กรของเราจะได้อะไรจากการที่คุณไปฝึกงานมาเรื่องนี้ปัจจุบันไม่ฮิตแล้วเธอบอกว่า ยุคสมัยนี้องค์กรใหญ่ๆ ไม่เคยต้องการเด็กที่ทำ "กิจกรรม" มาเยอะแยะแล้ว เพราะว่ากิจกรรมไม่ได้เป็นตัวบอกอะไรได้มากนัก เราต้องยอมรับว่า วิธีคิดของเด็กสมัยนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว กิจกรรม ไม่ได้การันตีว่า คุณจะสามารถทำงานเป็นทีมได้เสมอไปการเขียนแบบโดนใจเอชอาร์บอกลาเรซูเม่เดิมๆการใช้ภาษาหรือแบบฟอร์มแบบเดิม มันไม่น่าสนใจ เอชอาร์คนสวยพูดอย่างซีเรียส และระบุอีกว่า การเขียนเรซูเม่ ที่ใช้ภาษาบ่งบอกความมุ่งมั่น มันโบราณ มันไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับตัวตนคุณเลย และมันก็ไม่ได้แสดงให้เรารับรู้เลยว่า คุณมีของอะไรงานสอนได้ แต่ทัศนคติสอนไม่ได้สมัยนี้สิ่งเรายึดเป็นหลัก ในการเลือกคน คือ เราเชื่อว่างานสอนได้ แต่วิธีคิด ทัศนคติ สอนยาก บางทีอาจจะสอนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าคุณมีทัศนคติหรือวิธีคิดที่ดี มันได้เปรียบเห็นๆ เพราะถ้าองค์กรมีองค์ความรู้ และมีแนวทางในการพัฒนาคน หรือมีเครื่องมือที่ดีในการพัฒนาคนได้ องค์กรจะไม่กลัวคนที่ไม่เก่ง ไม่เชี่ยวชาญในอาชีพนั้นๆเฮ้ยนี่แหละ...มันโดนใจเอชอาร์เราอ่านเรซูเม่เดิมๆ เราจะไม่ค่อยสนใจ แต่มีบางคนนะ ที่เขียนเรซูเม่ มาน่าสนใจมาก บางทีองค์กรไม่ได้รับตำแหน่งนั้น แต่เราก็เรียกเขามาคุย เธอบอกเหตุผลว่า สิ่งที่เขาเขียนมา มันน่าสนใจ มันดึงดูดว่า เฮ้ย…มันน่าคุยอ่ะ เชื่อไหมในเรซูเม่เขา เขาไม่เขียนประวัติตัวเองมาเลย บอกเพียงแค่ชื่อ ชื่อเล่น และเบอร์ติดต่อ จากนั้นเป็นการเล่าเรื่องในสิ่งที่ไปทำมา แถมมีพอร์ทรูปมาให้ดูด้วย ซึ่งตำแหน่งนั้นไม่เกี่ยวกับงานภาพ หรืองานกราฟิกอะไรเลย แต่สิ่งที่เขาเล่านั่นแหล่ะ บ่งบอกว่าเขาได้อะไรจากการไปลงมือทำสิ่งๆ นั้นมาวิธีคิด อันดับหนึ่งในการพิจารณาเราให้ความสำคัญกับวิธีคิดมาก เนื่องจากงานสอนกันได้ องค์กรไม่เคยกลัวคนไม่เก่ง แต่เรื่องนี้มันยาก มันถูกหล่อหลอมออกมา บางคนไม่เคยแสดงพฤติกรรมในด้านไม่ดี แต่ถ้าวันหนึ่งไปเจอสถานการณ์ที่รับไม่ได้ ก็อาจทำให้เปลี่ยนไปเลย และไม่อาจไม่สามารถอยู่ในองค์กรได้อีกต่อไป คนที่คิดอย่างระบบ คิดดี จึงจำเป็นมาก ที่เอชอาร์ต้องมองให้ออกเอกสารที่เรียกว่าเรซูเม่และอีกหนึ่งคน ที่จะมาแชร์เรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับหางานให้ได้อาชีพ กับ "ไทยรัฐออนไลน์" คือ "นพวรรณ จุลกนิษฐ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวไว้อย่างละเอียด ซึ่งไม่แตกต่างกับแนวคิดของเอชอาร์บริษัทดังก่อนหน้าว่า"นพวรรณ จุลกนิษฐ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัดเทรนด์การสมัครงานเทรนด์การสมัครงาน ณ วันนี้ จะมุ่งเน้นที่การสมัครงานออนไลน์ เนื่องจากเป็นไปตามเทคโนโลยี ที่ทำให้วันนี้ทุกอย่างง่ายลง และทำให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้น หลังจากที่เราทำการสำรวจ พบว่า 1. กลุ่มคนตั้งใจหางาน 2. กลุ่มที่รอโอกาส ซึ่งตรงกับกลุ่มเอเชียบ้านเรา นั่นหมายรวมถึงนักศึกษาจบใหม่เทคนิคหางานสำหรับเทคนิคการหางานให้ได้ทำงาน สำหรับนักศึกษาจบใหม่ นางนพวรรณ ระบุว่าไว้หลายข้อ 1. หาให้ถูกที่ คือเราต้องไปหางานให้ถูกที่ อาจต้องใช้ช่องทางทางมีเดียที่ถูกต้อง ตรงจุด เพราะหากไปผิดที่ ไปในมีเดียที่ไม่มีงานให้เห็น มันจะทำให้การหางานยากยิ่งขึ้น 2. เข้าใจตัวเอง เราต้องรู้ตัวเอง ว่ามีดีอะไร ตรงไหน อะไรคือจุดเด่นของตัวเอง และอะไรคืองานที่เราชอบ ถ้าเราเข้าใจข้อนี้ คือเราเข้าใจตัวเอง ว่ามีทักษะอะไรเด่น มีความรู้ที่ดีในด้านใด เราถึงจะไปในสเต็ปที่ 3 ต่อได้ และ 3. หางานที่เราเหมาะสม มันจะตอบโจทย์เรามากที่สุด คือเราจะมีโอกาสได้งาน ที่เหมาะสมกับเรา ได้ทำอาชีพที่เราถนัด และเราจะหลงรักในอาชีพนั้นว่าด้วยเรื่องของ "เรซูเม่"เรื่อง "เรซูเม่" นางนพวรรณ บอกเราว่า มีความสำคัญเป็นอย่างมาก คือ เรซูเม่ที่ดี จะต้องเขียนให้ตรงใจ เพราะในบริษัทใหญ่ๆ จะมีเรซูเม่ เข้ามาเยอะมาก บางครั้งเอชอาร์ มีเวลาในการดูเรซูเม่เพียงไม่กี่วินาที เพราะสิ่งที่เอชอาร์ต้องการและหา คือคำเฉพาะ เช่น บริษัทแห่งหนึ่งต้องการรับสมัครพนักงานโซเชียลมีเดีย ในเวลาที่จำกัดในการดูเรซูเม่ของเอชอาร์ จำเป็นจะต้องหาคำว่า "โซเชียลมีเดีย" ถ้าเรซูเม่ของคุณ มีคำนี้ นั่นคือโอกาสโอกาสเมื่อได้งานหน้าตา "เรซูเม่ที่ดี"เมื่อถามว่า "เรซูเม่ที่ดี" จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร? ทางผู้บริหาร จ๊อบส์ ดีบีฯ ระบุว่า เรารู้ว่าเอชอาร์อยากได้คำเฉพาะจากการดูเรซูเม่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าคำเฉพาะคำนั้นคือคำว่าอะไร เราจะต้องไปดูประกาศโฆษณาของบริษัทนั้นๆ ว่าเขาหาใคร แค่นั้นเองเราก็จะเจอคำเฉพาะแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะเขียนในสิ่งที่ไม่ตรงกับความจริงลงไป หรือไปบิดเบือน เพื่อให้ตัวเองได้งาน อย่างนั้นคงไม่ได้ เพราะหากเข้าไปทำงาน เราเองก็ไม่สามารถทำงานในตำแหน่งนั้นๆ ได้อยู่ดีย้ำว่าอย่า "เลือกงาน"บางคนอาจคิดว่า การหางานจะต้องได้งานที่มีเงินเดือนเยอะๆ ซึ่งในความเป็นจริง เราเพิ่งเรียนจบมา ไม่มีประสบการณ์ มันก็คงเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราทำงานได้ดี เริ่มมีประสบการณ์ ความสามารถเริ่มเด่นชัด เงินเดือนมันจะตามมาอย่างแน่นอน เวลาเงินเดือนขึ้น มันก็ขึ้นถึงกว่า 40% หลังจากที่เราได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว ขอย้ำกับน้องๆ นักศึกษาจบใหม่ว่า อย่ามองแค่เรื่องเงิน มากกว่า "โอกาส" โอกาสนั่นแหล่ะที่ทำให้เราได้ทำงานในที่นั้นๆติดดาบให้ตัวเอง"ภาษา" โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เราต้องยอมรับว่า มันกลายเป็นทักษะพื้นฐานไปแล้ว ถ้าเราไม่ได้ภาษาอังกฤษ นั่นคือเราจะเสียโอกาสเป็นอย่างมาก แต่ถ้ายิ่งมีความสามารถในภาษาที่ 3 อย่าง จีน ญี่ปุ่น ด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะดีมากขึ้น"ไอที" สมัยนี้สำคัญมาก ส่งเมล์ โซเชียล "การฝึกงาน" หรือผ่านงานมา มันก็มีความสำคัญอย่างมาก ทุกอย่างนั่นคือ "ดาบ" ในตัวคุณสำคัญที่สุดในการคัดเลือกคนงาน"ทัศนคติ" เมื่อเราผ่านงานมา มันบอกได้ว่า เราผ่านการทำงานร่วมกับผู้อื่นมาแล้ว เพราะบริษัทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะใช้การทำงานเป็นทีมเป็นหลัก เรื่องทัศนคติและการทำงานร่วมกับผู้อื่นจึงมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากองค์กร ไม่ได้มองหาแต่คนเก่ง "เก่งอย่างเดียวไม่พอ" ความคิด นิสัย จริยธรรม นั่นแหละคือ ตัวตนของคุณ!รู้ลึก รู้จริงสุดท้ายคือนักศึกษาจบใหม่ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจในงาน หรืออาชีพนั้นๆ เราจึงควรหาโอกาสไปศึกษา "ตลาดงาน"ก่อน เพื่อให้เราได้รู้จักตำแหน่งนั้นๆ อย่างดีเสียก่อน ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปสมัครงานร่ายมาจนจบ ทุกอย่างอยู่ที่ลองทำ "ไทยรัฐออนไลน์" ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังหางาน และนักศึกษาจบใหม่ด้วย"ประสบการณ์" ไม่ได้มาง่ายๆ มันต้องใช้เวลานานโข เฉกเช่นกับคำว่า "โอกาส" ถ้าเรามัวแต่ปิดหูปิดตา เมื่อไหร่เราจะเจอคำว่า "โชคดี".