12 กรกฎาคม 2559
|
เปิดอ่าน 2077
Phubbing อาการติดโทรศัพท์ขั้นหนัก ไม่เพียงแค่ทำให้เสียสุขภาพ แต่ยังร้ายแรงถึงความสัมพันธ์ ลองมาเช็กกันสิว่าคุณกำลังเป็นหรือเปล่า ?
ทุก
วันนี้สังคมของเรา ถูกขนานนามว่า สังคมก้มหน้า
เพราะต่างคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์กันโดยไม่สนใจคนอื่น
ซึ่งการติดโทรศัพท์มาก ๆ ก็ไม่ได้ส่งผลแค่ปัญหาเรื่องสุขภาพ
แต่ยังส่งผลเสียต่อสภาพจิต และก่อให้เกิดมารยาททางสังคมแบบผิด ๆ อีกด้วย
วันนี้เราจะพามารู้จักกับอาการติดโทรศัพท์อย่างหนักที่มีชื่อเรียกว่าฟับ
บิ้ง (Phubbing) กันค่ะ
ขอบอกว่าอาการนี้หนักกว่าการติดโทรศัพท์แบบทั่วไปอีกล่ะ
เพราะสามารถติดต่อกันได้โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย พร้อมด้วยแบบทดสอบอาการฟับบิ้ง
ที่จะบ่งบอกให้ทราบว่าคุณกำลังมีอาการเช่นนี้อยู่หรือไม่
ฟับบิ้ง (Phubbing) อาการติดโซเชียลมากเกินไป ส่งผลร้ายถึงคนรอบข้าง
Phubbing อาการติดโทรศัพท์ขั้นหนัก ไม่เพียงแค่ทำให้เสียสุขภาพ แต่ยังร้ายแรงถึงความสัมพันธ์ ลองมาเช็กกันสิว่าคุณกำลังเป็นหรือเปล่า ? ทุก
วันนี้สังคมของเรา ถูกขนานนามว่า สังคมก้มหน้า
เพราะต่างคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์กันโดยไม่สนใจคนอื่น
ซึ่งการติดโทรศัพท์มาก ๆ ก็ไม่ได้ส่งผลแค่ปัญหาเรื่องสุขภาพ
แต่ยังส่งผลเสียต่อสภาพจิต และก่อให้เกิดมารยาททางสังคมแบบผิด ๆ อีกด้วย
วันนี้เราจะพามารู้จักกับอาการติดโทรศัพท์อย่างหนักที่มีชื่อเรียกว่าฟับ
บิ้ง (Phubbing) กันค่ะ
ขอบอกว่าอาการนี้หนักกว่าการติดโทรศัพท์แบบทั่วไปอีกล่ะ
เพราะสามารถติดต่อกันได้โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย พร้อมด้วยแบบทดสอบอาการฟับบิ้ง
ที่จะบ่งบอกให้ทราบว่าคุณกำลังมีอาการเช่นนี้อยู่หรือไม่
ฟับบิ้ง คืออะไร ?
ฟับบิ้ง (Phubbing)
แปลว่าอาการติดโทรศัพท์หรือโซเชียลขั้นรุนแรงจนกระทั่งไม่สนใจคนรอบข้าง
คำว่าฟับบิ้งเป็นคำที่มาจากการผสมกันระหว่างคำว่า Phone และ Snubbing
ซึ่งสาเหตุของอาการฟับบิ้งก็คือ ความกลัวที่จะตกข่าว
หรือตามกระแสสังคมไม่ทันจนไม่ยอมควบคุมการเล่นโทรศัพท์ตัวเอง
ซึ่งส่งผลเสียต่อการทำงานหรือความสัมพันธ์ต่าง ๆ
โดยผู้ที่มีอาการฟับบิ้งจะถูกเรียกว่า ฟับเบอร์ (Phubber)
และมักจะมีอาการที่เห็นได้ชัดคือ
หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นตลอดเวลาแม้ในขณะที่กำลังคุยกับคนรอบข้างอยู่
ไม่เพียงเท่านั้นอาการฟับบิ้งยังสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา
ไม่ว่าจะเป็นในขณะทำงาน ขับรถ รับประทานอาหาร หรือแม้แต่ขณะมีเพศสัมพันธ์
ฟับบิ้ง อาการเป็นอย่างไร อา
การฟับบิ้งที่เห็นได้ชัดที่สุดนั่นก็คืออาการติดโทรศัพท์ชนิดที่ว่าไม่สนใจ
คนรอบข้าง โดยสิ่งที่มักจะทำอยู่ตลอดเวลาก็คือการจ้องหน้าจอโทรศัพท์
การอัพสถานะบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างเช่น ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ฯลฯ
หรือส่งข้อความคุยกับคนอื่นผ่านโปรแกรมสนทนาอยู่ตลอดเวลา
ง่วนกับการเล่นโทรศัพท์มากกว่าคุยกับคู่สนทนาที่อาจจะนั่งอยู่ข้าง ๆ
อย่างที่เราเห็นบ่อย ๆ เวลาคนนั่งกันเป็นกลุ่ม
แต่เกือบทุกคนจะก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ แทบไม่ได้คุยกันเหมือนแต่ก่อน
นอกจากนี้ยังมักจะยิ้มหรือหัวเราะกับหน้าจอโทรศัพท์
และไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะต้องอัพสถานะเพื่อบ่งบอกสถานที่ที่ตัวเองอยู่เสมอ ๆ
รวมทั้งการถ่ายรูปและอัพลงโซเชียลมากเกินความจำเป็น
ทั้งนี้อาการเหล่านี้เรียกรวมสั้น ๆ ว่า อาการฟับ (Phub)
ส่วนใหญ่เป็นอาการที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แต่เราสามารถเช็กได้ว่าตัวเองมีอาการฟับบิ้งหรือไม่ จากแบบทดสอบนี้ค่ะ
ฟับบิ้ง ส่งผลเสียอย่างไร ผล
เสียที่ชัดเจนที่สุดของการฟับบิ้งคือปัญหาเรื่องความสัมพันธ์
เพราะการฟับบิ้งนั้นจะทำให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกอึดอัด
และก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ขึ้น โดยมีการศึกษาหนึ่งพบว่า
หากคนที่ไม่เคยมีพฤติกรรมติดโทรศัพท์นั้นถูกคนที่มีอาการฟับบิ้ง แสดงอาการ
Phub ใส่ก็จะทำให้คนคนนั้นมีอาการ Phubbing ตามไปด้วย
และจะไปแสดงอาการเดียวกันกับผู้อื่นต่อ กลายเป็นวงจรแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ
ไม่สิ้นสุด
ไม่เพียงเท่านั้น
ยังมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Computers in Human Behavior
แสดงให้เห็นถึงผลเสียอื่น ๆ อีกว่า อาการฟับบิ้ง
ไม่เพียงแต่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเท่านั้น
แต่ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า
และมีความพึงพอใจในชีวิตลดลงอีกด้วย
ซึ่ง
ในการศึกษาดังกล่าวได้ทำการทดสอบกับอาสาสมัคร 453 คน โดยแบ่งคนออกเป็น 2
กลุ่ม อาสาสมัครกลุ่มแรก 308 คน
ได้รับแบบสอบถามเรื่องอาการฟับบิ้งที่พวกเขาได้เจอจากคนใกล้ชิด
ซึ่งได้คำตอบไม่ค่อยแตกต่างกันนัก ส่วนใหญ่มักตอบว่า
เขามักเห็นคู่สนทนาของตนเองวางโทรศัพท์ไว้ในที่ที่สามารถเห็นได้ตลอดเวลา
และมักจะจ้องที่จอโทรศัพท์ขณะที่พูดคุยด้วย
ส่วนกลุ่มที่ 2 อาสาสมัคร 145 คน
(ซึ่งอาสาสมัครในกลุ่มนี้จะเป็นคนที่มีคนรักหรือแต่งงานแล้ว)
โดยพวกเขาได้รับแบบสอบถามเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการถูก Phub
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ ความพึงพอใจในชีวิตคู่ ความรู้สึกหดหู่
และอารมณ์ซึมเศร้าที่เกิดจากการพฤติกรรมฟับบิ้งของอีกฝ่าย ผลที่ได้คือกว่า
46% เคยถูกอาการฟับบิ้งจากคนอื่น และ 22.6%
ยอมรับว่าอาการฟับบิ้งเป็นสาเหตุที่นำไปสู่ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์
นอก
จากนี้การศึกษายังได้เผยให้เห็นว่า 37% ของอาสาสมัครรู้สึกอึดอัด
เมื่อถูกอีกฝ่ายแสดงอาการ Phub
ใส่ด้วยการก้มลงมองโทรศัพท์เพียงแค่ไม่กี่นาที และเกิดความรู้สึกไม่ดีต่าง ๆ
ขึ้น อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ความรู้สึกพึงพอใจในความสัมพันธ์ลดลง
ทั้งนี้
อาการฟับบิ้งไม่ได้ส่งผลเสียในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเท่านั้น
แต่ยังส่งผลเสียให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดคอ
ปวดหลัง ปวดไหล่ รวมทั้งปัญหาสายตาที่จะตามมาอีกมากมายจากแสงสีฟ้า อาทิ
โรคซีวีเอส (Computer Vision Syndrome) ที่ทำให้เกิดอาการปวดตา แสบตา ตามัว
และอาการปวดหัว หรืออาการต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ที่อาจทำให้ตาบอดได้
ฟับบิ้ง ป้องกันได้อย่างไร? อา
การฟับบิ้งจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากเราสามารถควบคุมการใช้โทรศัพท์ของตัว
เองได้ โดยควรใช้แต่พอดี
ทั้งนี้หากเป็นไปได้ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือขณะที่อยู่กับผู้อื่น
หรือใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
อีกทั้งยังควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่มีอาการฟับบิ้ง
หรือถ้าหากเลี่ยงไม่ได้ ก็ลองหากิจกรรมสนุก ๆ
และชักชวนให้กลุ่มคนเหล่านั้นร่วมด้วย เช่นกัน
หากคุณไปรับประทานอาหารกับเพื่อนที่มีอาการดังกล่าว
ก็ให้เพื่อนหยิบโทรศัพท์มาวางรวมกัน
ใครหยิบโทรศัพท์ออกไปเล่นก่อนต้องจ่ายค่าอาหารหรือชักชวนคู่สนทนาพูดคุยใน
เรื่องที่เขาสนใจ ก็จะช่วยให้เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาน้อยลงค่ะ อา
การฟับบิ้ง ไม่ใช่แค่เพียงปัญหาเล็ก ๆ เฉพาะตัวบุคคล
แต่ยังส่งผลต่อสังคมอย่างรุนแรง เพราะยิ่งมีคนที่มีอาการฟับบิ้งมากขึ้น
ก็จะยิ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์ต่อคนในสังคม
จึงยังไม่สายถ้าหากเราจะช่วยกันเยียวยาสังคมก้มหน้านี้
ให้กลับมาเป็นสังคมที่มีการใช้โทรศัพท์กันอย่างพอดี
เริ่มต้นกันวันนี้ที่ตัวเราเองกันเลยดีกว่าค่ะ
ที่มา : ขอขอบคุณข้อมูลจาก stopphubbing digitaltrends huffingtonpost popsugar